การดูแลรักษายางรถยนต์

ด้วยการหมั่นดูแลรักษายางรถยนต์ของท่านเป็นประจำ ยางของท่านจะใช้ต่อไปได้จนถึงวันที่ควรเปลี่ยนยางเส้นใหม่

ยางจะค่อยๆสึกหรอ

ดังนั้นจึงเป็นการยากที่จะพิจารณาได้ว่าจุดใดเป็นจุดที่สมรรถนะของยางเสื่อมที่จะทำให้ท่านเกิดความกังวลใจ

ถ้าหากรถของท่านไม่เลี้ยวหรือวิ่งบนถนนที่เปียกไม่ดีดังเช่นที่เคยเป็นเหมือนเมื่อก่อน หรือกว่าจะเบรกต้องใช้เวลานาน

หรือมีการสั่นสะเทือนมาก ท่านอาจจะต้องแก้ไขโดยการสับยาง ถ่วงล้อ หรือตั้งศูนย์

หรืออาจถึงเวลาที่ท่านจะต้องเปลี่ยนยางใหม่ก็ได้

คำแนะนำเหล่านี้มีประโยชน์สำหรับการบำรุงรักษายางที่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง
และเมื่อใดควรจะถึงเวลาที่จะต้องส่งยางรถยนต์ หรือไปที่ศูนย์บริการเพื่อบำรุงรักษา

การรักษาระดับความดันลมยางอย่างถูกต้อง
จงทำให้เกิดเป็นนิสัยประจำในการตรวจสอบความดันลมยาง (ทุกๆ 2-4 สัปดาห์)
เนื่องจากยางที่สูบลมโดยมีความดันลมยางที่ถูกต้องจะช่วยให้ท่านขับขี่ได้อย่างปลอดภัย
และทำให้อายุการใช้งานยางรถยนต์ยาวนานกว่าปกติ

หมั่นตรวจสอบความดันลมยางเป็นประจำ

แม้ว่าโดยเงื่อนไขแห่งหลักการ ยางรถยนต์จะเสียความดันในอัตราประมาณ 0.69 บาร์ (Bar) หรือ 1 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว (psi)
ต่อเดือน แต่อัตราดังกล่าวนั้นจะเพิ่มขึ้นเมื่ออุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้น
ขอให้ท่านหมั่นตรวจสอบความดันลมยางรถยนต์ของท่านอย่างน้อยที่สุดเดือนละครั้งและดูดอกยางโดยละเอียดถี่ถ้วนเมื่อท่านต
รวจสอบยาง ท่านจะเห็นคำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องความดันลมยางในคู่มือรถยนต์ของท่านหรือแก้มของยาง

ควรทำอย่างไรในการตรวจสอบความดันลมยางรถยนต์ของท่าน

  1. ซื้อเกจวัดความดันยางหรือใช้เกจวัดความดันยางที่จุดบริการใกล้บ้านท่าน
  2. ก่อนอื่น ในตอนเช้าหรือเมื่อยางรถยนต์ของท่านเย็น จงตรวจสอบยาง
    เพราะขณะขับขี่รถยนต์ยางจะร้อนซึ่งจะทำให้การตรวจสอบลมยางไม่เที่ยงตรง
  3. คลายวาล์วหัวสูบลม(valve) และเสียบเกจวัดบนวาล์วสูบยาง ถ้ามีเสียงฟู่สั้นๆถือว่ายางปกติ
  4. อ่านเกจวัดความดันลมยางแล้วนำมาเปรียบเทียบกับความดันลมยางรถยนต์ของท่านที่เป็น bar หรือ psi ซึ่งได้รับการแนะนำให้ใช้ แต่จงใช้ bar ก่อน
  5. ปรับความดันลมยางรถยนต์ของท่านด้วยอุปกรณ์อัดลมประจำบ้านหรือสูบยางที่อู่รถใกล้บ้านท่าน
  6. ตรวจสอบความดันลมยางของท่านอีกครั้งด้วยเกจวัดและเปรียบเทียบกับข้อกำหนดเฉพาะของผู้ผลิต
  7. ปิดฝาวาล์วสูบยาง แต่ละล้อ

จงมั่นใจว่ายางแต่ละเส้นได้รับการตรวจสอบ ถ้าความดันลมยางต่ำเกินไป
นั่นหมายว่าถึงเวลาที่ท่านจะต้องให้อู่ที่ท่านใช้บริการตรวจสอบได้แล้ว
ยางรถยนต์ของท่านอาจมีลมซึมออกช้าๆโดยมีสาเหตุเนื่องมาจากขนาดของขอบยางไม่ถูกต้องหรือลิ้นท่อยางผิดขนาด

การสลับยางรถยนต์ของท่าน
จงมั่นใจว่ายางรถยนต์ของท่านสึกเสมอกันทุกล้อ โดยการสลับยางทุกๆ 10,000 ถึง 12,000 กม. หรือทุกหกเดือน
การสลับยางจะทำให้ยางรถยนต์ของท่านทั้งชุดสึกหรอเท่ากัน
ถึงแม้ว่าการสลับยางจะช่วยยืดอายุยางของท่านและเกิดการบังคับและแรงฉุดที่สมดุลได้
แต่การสลับยางยังสามารถช่วยท่านได้ในการบังคับโดยง่ายดายและสะดวกสบายขึ้น
น่าจะเป็นความคิดที่ดีถ้าจะมีการสลับยางทุกๆครั้งของการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องครั้งที่สอง

ทำไมท่านจึงควรสลับยาง โดยปกติ ยางล้อหน้ารถยนต์ของท่านจะสึกเร็วกว่ายางล้อหลัง ถ้าหากท่านสลับตำแหน่งยางบ่อยๆ จะช่วยให้ยางสึกเท่ากันและดอกยางจะมีอายุการใช้งานนานที่สุด
สิ่งที่ควรจดจำที่คุ้มค่ามากคือการสลับยางไม่สามารถแก้ปัญหาการสึกหรอของยางได้ถ้าหากความดันลมยางไม่ถูกต้อง

บ่อยครั้งเพียงใดที่ต้องสลับยาง

เป็นความคิดที่ดีถ้าหากท่านจะสลับยางรถยนต์ของท่านทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องครั้งที่สอง (หรือคร่าวๆประมาณ 10,000 ถึง 12,000 กม.) ถ้าหากท่านขับรถเร็ว บรรทุกของหนัก หรือวิ่งรถระยะทางไกลๆ
ท่านอาจจะต้องสลับยางบ่อยๆเป็นพิเศษ ท่านควรสลับยางให้เร็วที่สุดที่สามารถทำได้เมื่อสังเกตเห็นว่ายางสึกไม่เท่ากัน ถ้ายางปล่อยเสียงดังหึ่งๆขณะขับขี่รถบนถนนเรียบ นั่นอาจหมายถึงเวลาแล้วที่ท่านจะต้องสลับยาง

ผมจะสลับยางด้วยตนเองได้หรือไม่ ด้วยสาเหตุเพราะว่า

การการสลับยางนั้นเป็นสิ่งสำคัญเนื่องจากจะต้องทำโดยถูกต้องสมบูรณ์

เราจึงใคร่ขอแนะนำให้ท่านใช้บริการของผู้ค้าของท่านหรืออู่รถที่เป็นมืออาชีพดำเนินการแทน อย่างไรก็ตาม
ก็ไม่ใช่สิ่งที่ยากลำบากเลยเมื่อท่านจะดำเนินการด้วยตนเอง
แต่กลับจะเป็นสิ่งดีที่ท่านอาจจะได้ความคิดและความเข้าใจจากการทำด้วยตนเอง
เป็นความคิดที่ดีที่ท่านสามารถเข้าใจว่าการสลับยางควรทำอย่างไรถึงแม้ว่าท่านจะให้มืออาชีพดำเนินการแทน
ถ้าทำด้วยตนเองท่านก็ไม่จำเป็นต้องมีเครื่องมือพิเศษ เพียงแต่มีสถานที่และมีเวลาเพียงสองสามชั่วโมงก็เพียงพอแล้ว
ท่านจะต้องตรวจสอบจากคู่มือเจ้าของรถยนต์ของท่านเป็นประจำเสมอๆสำหรับคำแนะนำที่ให้โดยผู้ผลิตรถยนต์ของท่าน
เราขอแนะนำท่านให้ปฏิบัติในการสลับยางรถยนต์ของท่านตามรูปแบบดังกล่าวข้างล่างนี้
ท่านควรสลับล้อหน้าไปล้อหลังเฉพาะเมื่อขนาดของยางทั้งหมดเป็นขนาดเดียวกัน (แบบ A-D)
ขนาดของยางและล้อของรถยนต์บางประเภทไม่เท่ากัน โดยยางล้อหน้าจะแตกต่างจากเพลาหลัง ในกรณีนี้
ขอแนะนำให้ท่านใช้การสลับแบบ E (ถ้าหากใช้ยางรถยนต์ที่ไม่มีเครื่องหมายบอกทิศทาง)
เมื่อสลับยางที่มีดอกยางบอกเครื่องหมายบอกทิศทาง จงหมั่นสังเกตดูลูกศรที่พิมพ์ติดด้านข้างผนังยางเสมอๆ
ลูกศรเหล่านี้จะบอกทิศทางการเลี้ยวของยางซึ่งท่านจะต้องให้ความเอาใจใส่ด้วยความระมัดระวัง
ในกรณีของยางที่มีขนาดเดียวกันซึ่งเป็นยางที่มีเครื่องหมายบอกทิศทาง ท่านสามารถสลับยางตามแบบ A ได้
ยานพาหนะที่ใช้ยางหรือล้อประเภทบอกทิศทางซึ่งมีขนาดต่างกันและยางชุดล้อหน้ากับล้อหลังก็แตกต่างกันแต่มีเครื่องหมายบ
อกทิศทาง จำเป็นต้องถอดยางออกใส่คืน และถ่วงใหม่เพื่อให้การสลับยางทำอย่างถูกต้องสมบูรณ์
จงหมั่นตรวจสอบจากคู่มือของรถยนต์ของท่านเป็นประจำเสมอ

หมั่นตรวจสอบดอกยางรถยนต์ของท่าน
สภาพดอกยางรถยนต์ของท่านเป็นสิ่งบ่งชี้ประการหนึ่งของความสมบูรณ์ของสภาพรถยนต์
การตรวจสอบยางทั้งสี่ล้อเป็นประจำจะช่วยให้ท่านสามารถวินิจฉัยปัญหาที่จะเกิดขึ้นได้ซึ่งท่านอาจจะต้องใช้บริการมืออาชีพช่ว
ย จงตรวจสอบยางของท่านอย่างน้อยเดือนละครั้ง และก่อนหรือหลังการเดินทางที่ยาวนาน

สัญญาณที่ท่านต้องมองหา
ตัวชี้วัดความสึกของดอกยาง ตัวชี้วัดนี้ออกแบบให้มองเห็นได้ชัดเมื่อดอกยางรถยนต์ของท่านสึก
ถ้าแท่งบอกการสึกของดอกยางปรากฏให้เห็น ถึงเวลาแล้วที่ท่านจะต้องเปลี่ยนยางชุดใหม่
ถ้าท่านไม่มั่นใจว่าแท่งบอกการสึกของดอกยางอยู่ ณ ตำแหน่งใด ให้ท่านดูเครื่องหมายบนแก้มของยาง

เกจวัดความลึกยางของท่านจะบอกการสึกของดอกยางได้ ความลึกของดอกยางอย่างน้อยที่สุดควรจะอยู่ระหว่าง 2-3 มม.
เป็นความคิดที่ดีหากท่านจะซื้อเกจวัดความลึกดอกยางราคาถูกๆไว้ใช้ในการตรวจสอบว่ายางรถยนต์ของท่านได้มาตรฐานขั้นต่ำ
หรือไม่ ท่านต้องมั่นใจว่าท่านได้วัดทั้งภายในและภายนอกของดอกยาง

วัตถุชิ้นเล็กๆที่ติดในดอกยาง ไม่ใช่เป็นสิ่งผิดปกติที่จะมีวัตถุชิ้นเล็กๆติดในดอกยาง ถ้าติดในร่องดอกยาง
จงแคะเอาวัตถุนั้นออกด้วยความระมัดระวังโดยมั่นใจว่าจะไม่ทำให้เกิดความเสียหายแก่ยาง
ถ้าหากท่านเห็นว่ามีวัตถุที่ทิ่มผ่านยางเช่นตะปู ท่านไม่ต้องทำอะไรและไม่ต้องถอนตะปูออกจนกว่านำรถของท่านถึงอู่
มิฉะนั้นท่านยางรถของท่านจะแบน

ยางรถจะสึกด้านนอก ถ้าหากท่านสังเกตเห็นว่ายางของท่านสึกที่ขอบทั้งสองด้าน
ท่านอาจจะต้องสูบลมให้ยางพองหรือตรวจสอบว่ายางรั่วหรือไม่ ยางจะเสียลมโดยธรรมชาติ
แต่การขับขี่รถยางอ่อนรถจะกินน้ำมันและมีความเสี่ยงสูงมากที่จะทำให้ท่านเกิดอุบัติเหตุได้ ดังนั้น
ท่านต้องแน่ใจว่าท่านตรวจสอบความดันลมยางเป็นประจำ ถ้าหากท่านสังเกตเห็นว่าเฉพาะยางล้อหน้าเท่านั้นที่สึกที่ขอบ
ยางอาจจะทำให้ท่านเข้าโค้งหรือมุมเร็วมาก

การสึกหรอที่ศูนย์กลางดอกยาง ถ้าหากศูนย์กลางของดอกยางสึกหรอมากกว่าขอบด้านนอก
อาจเป็นเพราะท่านสูบลมจนยางพองมากเกินไป ยางที่พองลมมากเกินไปนั้นจะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงที่จะทำให้ยางระเบิดได้
จงตรวจสอบข้อกำหนดของผู้ผลิต ใช้เกจวัดความดันลมยาง และแล้วปล่อยลมออกจนอยู่ในระดับตามคำแนะนำ

การสึกหรอที่ไม่เท่ากันทั่วในยางเส้นเดียวกัน
ลักษณะการสึกหรอของดอกยางรถยนต์ของท่านสามารถเตือนท่านให้ทราบได้ว่ามีปัญหา ณ ที่อื่นใดในรถของท่าน
ถ้าหากท่านสังเกตเห็นว่ามีแผ่นของความสึกหรอที่ไม่เท่ากันหรือมีจุดโล้น ท่านอาจจะต้องถ่วงล้อ หรือตั้งศูนย์
บางครั้งจุดโล้นอาจบ่งชี้ได้ว่าอุปกรณ์กันสะเทือนสึกหรอ ท่านต้องปรึกษากับมืออาชีพ

การสึกหรอที่ไม่เท่ากันทั่วทั้งรอยยาง อัตราการสึกหรอในยางรถของท่านจะไม่เท่ากัน ด้านหน้ารถมีเครื่องยนต์
ทำหน้าที่ขับเคลื่อนรถเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นยางล้อหน้ารถของท่านจะสึกเร็วกว่า ถ้าท่านเห็นว่ายางนั้นสึกมากกว่าปกติ
ท่านควรตรวจสอบแหนบรถ ถ้าหากยางด้านหนึ่งสึกมากกว่าอีกด้านหนึ่ง ก็อาจจะถึงเวลาที่ท่านคงต้องตั้งศูนย์ยางใหม่

ลักษณะฟันเลื่อยบนขอบยาง ถ้าหากท่านสังเกตเห็นว่ายางรถยนต์ของท่านมีลักษณะเป็นฟันเลื่อยหรือคล้ายขนนกรอบๆขอบยาง
สาเหตุน่าจะเกิดจากยางถูกับถนนตามธรรมชาติ สัญญาณดังกล่าวอาจจะเป็นสัญญาณเตือนว่าท่านคงต้องตั้งศูนย์ล้อใหม่

 

การเปลี่ยนยาง
การตรวจและบำรุงรักษายางเป็นประจำจะช่วยยืดอายุยางได้ แต่ยางทั้งหมดก็ต้องสึกหรอไปตามกาลเวลา
อายุของยางจะแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับลักษณะนิสัยการขับขี่รถของท่าน ภูมิอากาศของสถานที่ที่ท่านพักอาศัยอยู่
และการบำรุงรักษายางของท่านดีเพียงใด ยางทั้งหมดย่อมมีการสึกและเสียหายและต้องเปลี่ยนในท้ายที่สุด

ดอกยางสึก ถึงแม้ว่าท่านจะบำรุงรักษายางรถยนต์ของท่านอย่างดีที่สุด เมื่อถึงกาลเวลาดอกยางก็จะสึก
ยางส่วนใหญ่จะมีแท่งบอกการสึกของดอกยาง
แท่งเหล่านี้ซึ่งเป็นยางแข็งจะปรากฏให้เห็นบนยางเมื่อความลึกของดอกยางอันตรธานไปเกินกว่าขีดจำกัดที่จะขับขี่รถได้อย่างปลอดภัย ซึ่งโดยทั่วจะอยู่ที่ 1.6 มม.
ท่านควรตรวจสอบดอกยางที่สึกไม่เท่ากันด้วยที่อาจสามารถบ่งชี้ปัญหาอื่นๆเกี่ยวกับยางและรถยนต์ของท่านได้

รอยแตกที่มองเห็นได้ จงตรวจสอบแก้มของยางและดอกยางที่อาจมีรอยแตก
ถ้าหากท่านสังเกตเห็นว่ามีรอยแตกเล็กๆในแก้มของยางที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า “รอยเส้นแตกร่างแห (Crazing)”
นั่นหมายความว่าถึงเวลาแล้วที่ท่านต้องเปลี่ยนยาง
แก้มของยางจะไม่หนามากและรอยแตกบนแก้มยางจะเป็นสาเหตุให้ท่านไม่สามารถใช้ยางต่อไปอีกได้
ท่านควรตรวจสอบดอกยาง ไหล่ยาง แก้มยางด้วยว่ามีฟองอากาศ ตุ่มพอง รอยตัด หรือรอยแตกหรือไม่
สิ่งเหล่านี้เป็นสัญญาณบอกท่านทั้งสิ้นว่าท่านจะต้องเปลี่ยนยางใหม่แม้ว่ายางจะยังคงไม่สึกจากการใช้งานก็ตาม
เมื่อซื้อยางใหม่เพื่อเปลี่ยนถือว่าเป็นความคิดที่ดีถ้าหากท่านจะเปลี่ยนทั้งสี่ล้อพร้อมกัน แต่ถ้าหากท่านซื้อเพียงสองเส้น
จงมั่นใจว่ายางทั้งสองเส้นนั้นใช้เข้ากันได้กับยางที่สึกแล้วเป็นบางส่วน
และนำไปเปลี่ยนเป็นยางล้อหลังซึ่งจะทำให้เกิดแรงฉุดและรถมีเสถียรภาพดีกว่าขณะที่ท่านขับขี่